รวบรวมวิดีโอความรู้เกี่ยวกับ virus
virus
อักษรวิ่ง
วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562
viral infection
โรคติดเชื้อไวรัส
Viral infection
โรคหัด (Measles)
คางทูม (Mumps)
อีสุกอีใส (Chickenpox)
โปลิโอ (Poliomyelitis)
โรคหัดเยอรมัน (German measles)
ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)
เริม (Herpes simplex)
งูสวัด (Herpes zoster)
เอดส์ (AIDS)
Viral infection
โรคติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อย
โรคหวัด (Common cold)
v เกิดจากการติดเชื้อไวรัส
v กลุ่มไรโนไวรัส (Rhinoviruses) และ
โคโรนาไวรัส (Coronaviruses)
v ทำให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินหายใจ
โดยทั่วไปโรคหวัดมีอาการไม่รุนแรง
อาจมีไข้ได้ แต่ไข้ไม่สูง (ไม่เกิน 38 องศาเซลเซีย) อาจปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว
แสบตา คัดจมูก จาม ไอ เสียงแหบ
น้ำมูกใส อ่อนเพลีย บางครั้งอาจมีอาการเจ็บคอ ปวดท้อง อาเจียนหรือท้องเสียได้บ้าง อาการแตกต่างกันได้มากในแต่ละครั้งของการเป็นหวัด แต่โดยทั่วไปอาการไม่มาก
ไ
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
v เกิดจากติดเชื้อ
Influenza viruses
v เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจเช่นเดียวกับโรคหวัด
v มีความรุนแรงสูงกว่าโรคหวัดธรรมดามาก
Influenza viruses ก่อโรคในคน
มี 3 ชนิด
Influenza A virus
- ก่อโรคบ่อยที่สุด
อาการรุนแรง และเกิดการระบาดได้
- ไวรัสชนิดนี้มีหลายชนิดย่อย
(Subtype) คือ
1. Hemagglutinin (ย่อว่า H
บางคนย่อว่า HA)
2. Neuraminidase
(ย่อว่าN บางคนย่อว่า NA)
- แต่ละสายพันธ์ย่อยจะมีอาการโรคเหมือนกัน
แต่มีความรุนแรงของอาการต่างกัน
Influenza B virus
- ชนิดนี้ไม่มีการแบ่งเป็นสายพันธ์ย่อย
แต่แบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย คือ B/Yamagata และ B/Victoria
- เป็นโรคที่พบได้น้อยกว่า
ชนิด A มาก
- ไม่ค่อยพบมีการกลายพันธ์
- พบก่อโรคได้ในแมวน้ำ
Influenza C virus
- พบก่อโรคได้ใน
คน สุนัข และหมู
- ความรุนแรงของโรคอาจมากจนเกิดเป็นการระบาด
หรือพบความรุนแรงน้อยก็ได้
- โดยทั่วไปพบไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากไวรัสชนิดนี้ได้น้อย
- ไม่ค่อยมีความรุนแรงเมื่อเกิดในเด็ก
โรคหัด (Measles)
v measles
/ rubeola
v โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ
Morbillivirus
v โรคไข้ออกผื่นที่พบบ่อยในเด็กเล็ก
v เป็นโรคที่มีความสำคัญมากโรคหนึ่ง
เพราะอาจเกิดโรค
แทรกซ้อนทำให้ถึงเสียชีวิตได้
v โรคนี้มีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงเกือบ
100%
v ติดต่อโดยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด
v เชื้อไวรัสจะกระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายและเข้าสู่ร่างกายทางการหาย
ใจ
v บางครั้งเชื้ออยู่ในอากาศ เมื่อหายใจเอาละอองที่
ปนเปื้อนเชื้อไวรัส (Air borne transmission) เข้าไปก็ทำให้เป็นโรคได้
v เมื่อไวรัสมาสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูกหรือเยื่อบุตา จะมีการแบ่งตัวและลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณ
ใกล้เคียงและเข้าสู่กระแสเลือด จากนั้นจะแบ่งตัวเพิ่มในเยื่อบุทางเดินหายใจและระบบน้ำเหลือง
ม้าม และตับ
v ทำให้เกิดผื่นบริเวณผิวหนัง การติดเชื้อทางเดินอาหาร และการติดเชื้อในระบบอื่นๆได้
คางทูม (Mumps)
v Mumps
หรือ Epidemic parotitis
v เกิดจากเชื้อ Mumps virus /
Paramyxovirus
v เป็นโรคติดต่อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ และก่อให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณแก้มหน้าหูเหนือขากรรไกร
ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands)
v เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ
จากการหายใจและสัมผัสน้ำลายของผู้ป่วย
v ระยะที่ติดต่อได้ง่าย คือ 1-7 วัน
ก่อนมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย ไปจนถึง 5-10 วัน หลังจากมีการบวมของต่อมน้ำลาย
อีสุกอีใส (Chickenpox)
v โรคสุกใส
ไข้อีสุกอีใส ไข้สุกใส (Chickenpox หรือ Varicella)
v เกิดจากเชื้อที่มีชื่อว่า Varicella
zoster virus (VZV)
v โดยทั่วไปพบในเด็กตั้งแต่อายุประมาณ 1-12 ปี
v อาการ ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดท้อง
เจ็บคอ
v อ่อนเพลีย ไม่สบาย
ประมาณ 1-2 วัน จากนั้นไข้ลง
v อาการต่างๆดีขึ้น แต่ผิวหนังจะขึ้นผื่นอย่างรวดเร็ว
v โดยผื่นจะขึ้นบริเวณใบหน้าและลำตัวก่อน
จากนั้นจะ
v ขึ้นไปที่หนังศีรษะ แขนขา โดยขึ้นหนาแน่นในส่วน
v ใบหน้าและลำตัว
และอาจขึ้นในเยื่อบุช่องปากและกับ
v ผิวหนังของอวัยวะเพศภายนอก
ผื่นมีลักษณะเป็นผื่นแดง เม็ดเล็กๆคันมาก
จากนั้นภายใน 1 วันจะกลายเป็นตุ่มพองมีน้ำใสๆ และทยอยขึ้นต่อเนื่องได้อีกภายใน 3 -
6 วัน จากนั้นจะแห้งตกสะเก็ดภายใน 1 - 3 วัน และ สะเก็ดแผลจะค่อยๆลอกจางหายไปกลับเป็นปกติภายในระยะเวลาประมาณ
2 สัปดาห์
โปลิโอ (Poliomyelitis)
v Poliomyelitis
หรือ Polio หรือ Infantile paralysis
v เกิดจากเชื้อ Poliovirus ที่อยู่ในกลุ่ม
Enterovirus
v ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ
มีเพียงส่วนน้อยที่จะมีอาการ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
v อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนี้อาจเกิดขึ้นซ้ำ
รวมทั้งเกิดกล้ามเนื้อฝ่อลีบและเกิดความพิการของข้อได้
v โรคนี้ไม่มียารักษา
แต่มีวัคซีนสำหรับป้องกัน
v Poliovirus มีอยู่ 3 ชนิด
v ตัวอย่างของไวรัสอื่นๆในกลุ่มนี้
เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือ-เท้า-ปาก และไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื่องจากไวรัสนี้เจริญเติบโตอยู่ในลำไส้
เชื้อจึงถูกขับออกจากร่างกายมากับอุจจาระและแพร่สู่ผู้อื่นผ่านการกินอาหารและดื่มน้ำที่ปนเปื้อน
v การติดเชื้อโปลิโอมักพบในวัยเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่
ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสติดเชื้อเท่าๆกัน
โรคหัดเยอรมัน (German measles)
v German
measles / Rubella
v เกิดจากเชื้อชื่อ Rubivirus หรือ
Rubella virus ซึ่งอยู่ในตระกูล Togaviridae
v โรคนี้เป็นแล้วมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต
และมีวัคซีน ป้องกันได้
v เป็นโรคไข้ออกผื่นที่พบทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่
v ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ถ้ามีอาการจะมีไข้และออกผื่น
คล้ายหัด แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า และมักจะหายได้เองโดยไม่มีโรคแทรกซ้อน แต่มีความสำคัญ
คือ ถ้าเกิดในหญิงตั้งครรภ์ เชื้ออาจ แพร่กระจายเข้าทารกในครรภ์ ทำให้เกิดการพิการได้
v ติดต่อได้โดยการไอ
จาม หายใจรดกัน
v มักพบการระบาดในโรงเรียน โรงงาน ที่ทำงาน
v ช่วงที่มักจะเกิดโรค คือ เดือนมกราคมถึงเมษายน
v เมื่อเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจแล้วจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือด
ระบบน้ำเหลือง ต่อน้ำเหลือง ตับ ม้าม
v ตรวจพบเชื้อได้ในเลือด ปัสสาวะและน้ำไขสันหลัง
ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)
v เกิดจากเชื้อ
Dengue virus ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์
v มียุงลายตัวเมียเป็นพาหะ
v คนที่ได้รับเชื้อครั้งแรกมักไม่มีอาการ
หรืออาจมีเพียงไข้ สูง ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะและเบื่ออาหาร
v แต่ในคนที่ติดเชื้อนี้เป็นครั้งที่ 2
โดยเฉพาะเชื้อนั้นเป็นเชื้อที่ต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก ผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงถึงช็อกได้
v อาการของโรคไข้เลือดออกแบ่งได้เป็น
3 ระยะ คือ
1. ระยะไข้หรือระยะที่
1 ระยะนี้ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอย เบื่ออาหาร คลื่นไส้
อาเจียน ปวดท้อง หน้าแดง อาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนังหรือมีเลือดออกบริเวณอื่นๆ
เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนมีเลือดปน ถ่ายอุจจาระสีดำ
เป็นต้น โดยอาการจะเป็นอยู่ประมาณ 2-7 วัน
2. ระยะช็อกหรือระยะที่
2 ในบางรายขณะที่ไข้ลดลง ผู้ป่วยจะมีอาการทรุดลง คือ ซึม กระสับกระส่าย เหงื่อออก ปลายมือปลายเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วและเบา ปัสสาวะน้อย ในบางรายมีอาการปวดท้องมาก
ท้องโตขึ้น หายใจหอบเหนื่อย เนื่องจากมีน้ำรั่วออกจากหลอดเลือดเข้าสู่ช่องเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง บางรายมีเลือดออกมาก เช่น เลือดออกในทางเดินอาหารทำให้อุจจาระสีดำ
หรืออาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดกำเดาไหล ผู้ป่วยในระยะนี้อาจมีอาการช็อก
ความดันโลหิตต่ำ และถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน แต่ในบางราย ผู้ป่วยมีอาการไม่มาก
หลังจากไข้ลงจะมีอาการดีขึ้นจากระยะที่ 1 เข้าสู่ระยะที่ 3 เลย
3. ระยะพักฟื้นหรือระยะที่
3 ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น รับประทานอาหารได้มากขึ้น ชีพจรเต้นช้าลงความดันโลหิตกลับมาสู่ปกติ ปัสสาวะออกมากขึ้น
ในบางรายอาจมีผื่นเป็นวงขาวๆบนพื้นสีแดงตามผิวหนังโดยเฉพาะที่ขาทั้ง 2 ข้าง ผื่นมักไม่คันและไม่เจ็บ
เริม (Herpes simplex)
v เกิดจากเชื้อ Herpes simplex virus (HSV)
v เป็นไวรัสต่างชนิดกับโรคงูสวัดและโรคอีสุกอีใส ถึงแม้จะก่อให้เกิดตุ่มน้ำกับผิวหนังได้คล้ายๆกัน
v ไวรัสเอชเอสวี มี 2 ชนิด คือ
1. HSV-1 เป็นสาเหตุติดเชื้อในช่องปากและริมฝีปาก
2. HSV-2 เป็นสาเหตุติดเชื้อในอวัยวะเพศภายนอกและในช่องคลอด
ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มแผลที่เป็นโรคจากน้ำตุ่มพอง น้ำลาย
สารคัดหลั่ง การใช้ของใช้ร่วมกัน การจูบ การกิน
จากมือติดโรคป้ายตาจึงเกิดโรคที่ตา และเมื่อเกิดกับอวัยวะเพศจะเกิดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
และติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ขณะคลอด ถ้าขณะคลอดมารดา ติดเชื้อนี้ที่อวัยวะเพศ
v เมื่อติดเชื้อเริมมักไม่มีอาการ
แต่เชื้อจะอยู่ในตัวตลอด ชีวิตในปมประสาท เมื่อร่างกายอ่อนจึงแสดงอาการ
v โรคเริมเป็นแล้วเป็นอีกได้เรื่อยๆ
บางครั้งอาจเกิดถึง ปีละ 3 ครั้ง แต่จะค่อยๆห่างไปเมื่อสูงอายุขึ้น
vโรคเริมในช่องปากหรือที่ริมฝีปากมักเกิดอาการตามหลังช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานต่ำ
เช่น อาการเคลียดพักผ่อนน้อย อ่อนเพลีย ถูกแสงแดดจัด
หลังผ่าตัด หรือช่วงมีประจำเดือน
งูสวัด (Herpes zoster)
v Herpes
zoster หรือ Shingles
v เกิดจากเชื้อชนิดเดียวกับที่เป็นสาเหตุโรคอีสุกอีใส ได้แก่ Varicella
zoster virus (VZV)
v ทั้งนี้เมื่อโรคอีสุกอีใสหายแล้ว
เชื้อจะหลงเหลือซุกซ่อน อยู่ในปมประสาทต่างๆ เมื่อร่างกายอ่อนแอ มีภูมิคุ้มกัน
ต้านทานลดลง เชื้อไวรัสจึงเจริญเติบโตและก่อให้เกิด โรคงูสวัดได้
v ติดต่อได้จากการสัมผัสผื่นหรือตุ่มพองของโรค
v โดยผู้สัมผัสไม่เกิดเป็นงูสวัด แต่จะเกิดเป็นโรคอีสุกอีใส
v เมื่อไม่เคยเป็นมาก่อน หรือไม่เคยฉีดวัคซีน
เอดส์ (AIDS)
v โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV)
ซึ่งย่อมา จากคำว่า Human immunodeficiency virus
v จัดเป็นไวรัสในกลุ่ม Retro virus
v โดยถือว่าเมื่อโรคเข้าสู่ระยะที่สามของการติดเชื้อไวรัส
เอชไอวีจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์โดยสมบูรณ์แล้ว
v คำว่าเอดส์ (AIDS)
เป็นชื่อโรคย่อมาจากคำว่า Acquired immunodeficiency syndrome มีความหมายกว้างๆว่า โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด
v ติดต่อได้โดยการได้รับเลือด และ/หรือสารคัดหลั่ง
(Secretion) เช่น น้ำอสุจิ
น้ำเมือกในช่องคลอด จากผู้ที่ติดเชื้อซึ่งมีหลายวิธี ดังต่อไปนี้
1. ทางการมีเพศสัมพันธ์
2. การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
3. ทางการรับเลือดจากผู้อื่นที่มีเชื้อไวรัสอยู่
4. ติดต่อจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ลูก
5.
การติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์
6. โรคเอดส์ไม่สามารถติดต่อทางยุงกัด
หรือการสัมผัสผิวหนังภายนอก
7. เชื้อไวรัสที่ปะปนออกมาในเลือดและในเสมหะที่ออกมาอยู่นอกร่างกายจะมีชีวิตอยู่ไม่เกิน
24 ชั่วโมง และจะถูกทำลายได้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทั่วไป
8. การติดเชื้อเอชไอวีจากน้ำลายหรือน้ำตา มีโอกาสเกิดได้น้อยมากๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)